วันแดงเดือด ถือเป็นหนึ่งในเกมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก. การพบกันระหว่างลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ไม่ใช่แค่ฟุตบอลธรรมดา.
ต้นกำเนิดของ วันแดงเดือด เริ่มขึ้นตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 เมื่อ ลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แข่งขันกันในด้านอุตสาหกรรม การค้า และวัฒนธรรม. เมื่อฟุตบอลกลายเป็นกีฬาแห่งชาติ ความเป็นคู่ปรับของสองเมืองนี้ก็ถูกถ่ายทอดลงสู่สนามหญ้า และจากนั้นความดุเดือดก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกยุคทุกสมัย.
ช่วงเริ่มต้นของการแข่งขันลีก แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดภายใต้ชื่อเดิม Newton Heath และลิเวอร์พูลต่างก็พยายาม ยกระดับทีมให้โดดเด่น. ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองทีมเริ่มตึงเครียดในช่วงปี 1960–1970 เมื่อทั้งสองสโมสรผลัดกันเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประเทศ ลิเวอร์พูลของ บิล แชงคลีย์ และบ็อบ เพสลีย์ ครองความยิ่งใหญ่ในยุคทอง ขณะที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดของ เซอร์ แมตต์ บัสบี้ ก็สร้างชื่อในระดับยุโรป. ตั้งแต่นั้นมา “แดงเดือด” ก็ไม่ใช่แค่เกมฟุตบอลอีกต่อไป แต่คือสงครามแห่งศักดิ์ศรีของสองอาณาจักรลูกหนัง.
Red Derby แต่ละครั้งมักเต็มไปด้วย ความเข้มข้น ทั้งในสนามและบนอัฒจันทร์ แฟนบอลของทั้งสองทีมต่าง เปล่งเสียงร้องเพลงประจำสโมสร. บรรยากาศในสนามแอนฟิลด์และโอลด์แทรฟฟอร์ดในวันที่ทั้งคู่พบกัน มักถูกเปรียบว่าเป็น ศึกแห่งความศรัทธา.
หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ ศึกแดงเดือด มีความพิเศษคือ การเป็นสองทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศเดียวกัน. แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและลิเวอร์พูลผลัดกันครองบัลลังก์ฟุตบอลอังกฤษ ทั้งสองทีมต่างมีช่วงเวลารุ่งเรืองและตกต่ำ แต่ไม่เคยหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก. การพบกันของทั้งคู่จึงมักเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของฤดูกาล และเป็นเกมที่สามารถกำหนดชะตาของแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เสมอ.
ในช่วง ทศวรรษ 1990–2000 ความดุเดือดยิ่งทวีคูณ ลิเวอร์พูลที่พยายามล้างแค้นความสำเร็จของแมนยู ต้องเจอกับปีศาจแดงที่ครองความยิ่งใหญ่ในลีก ความตึงเครียดระหว่างแฟนบอลสองฝ่าย เป็นสิ่งที่สื่อทั่วโลกพูดถึง. ขณะที่ในยุค เยอร์เกน คล็อปป์ และเอริก เทน ฮาก ปัจจุบัน ศึกแดงเดือดยังคง เป็นสนามที่รวมซูเปอร์สตาร์จากทั่วโลกไว้ด้วยกัน.
เอกลักษณ์เฉพาะของแมตช์นี้ คือ อารมณ์ร่วมและความหมายทางจิตวิญญาณ. ไม่ว่าผลการแข่งขันจะออกมาอย่างไร ทั้งสองสโมสรต่างยังคง ได้รับความเคารพในฐานะตำนานฟุตบอลอังกฤษ.
สำหรับแฟนบอลทั่วโลก Red War ไม่ได้เป็นแค่วันแข่งขัน แต่คือ วันที่ทุกสายตาทั่วโลกจับจ้องมายังเกาะอังกฤษ. เพราะตราบใดที่ยังมีเสียงเพลง “You’ll Never Walk Alone” และ “Glory Glory Man United” ดังก้องในสนาม ลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดจะยังคงเขียนหน้าประวัติศาสตร์บทใหม่ของ Red War ต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด.
สัญลักษณ์แมนยู
ทีมปีศาจแดงแห่งเกาะอังกฤษ เป็นทีมฟุตบอลที่มีชื่อเสียงและฐานแฟนบอลมากที่สุดในโลก. สโมสรแห่งนี้ เริ่มต้นในชื่อ Newton Heath LYR Football Club ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในปี ค.ศ.1902 หลังจากได้รับการสนับสนุนจาก ผู้บริหารโรงเบียร์ท้องถิ่นที่ช่วยทีมรอดจากวิกฤติทางการเงิน. การเปลี่ยนชื่อครั้งนั้นไม่เพียงเปลี่ยนอนาคตของสโมสร แต่ยังเป็นการวางรากฐานให้แมนยู เติบโตสู่การเป็นทีมระดับโลก.
โรงละครแห่งความฝัน เป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของแฟนบอลปีศาจแดงทั่วโลก. สนามแห่งนี้ มีความจุเกือบ 75,000 ที่นั่ง. ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ที่นี่ได้กลายเป็น สถานที่ที่ความยิ่งใหญ่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น.
ในช่วง ยุคบุกเบิกฟุตบอลอังกฤษ แมนยูต้องเผชิญกับ ความท้าทายมากมาย. หนึ่งในเหตุการณ์ที่ สำคัญที่สุด ในประวัติศาสตร์ของสโมสรคือ Munich Air Disaster ซึ่งคร่าชีวิตนักเตะและเจ้าหน้าที่หลายคนที่กำลังกลับจากการแข่งขันยุโรป เหตุการณ์นี้กลายเป็น เครื่องเตือนใจแห่งความไม่ยอมแพ้. เซอร์ แมตต์ บัสบี้ ผู้จัดการทีมในขณะนั้น ได้ สร้างทีมขึ้นมาใหม่จากศูนย์.
ในปี ค.ศ.1968 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ยูโรเปียนคัพได้เป็นครั้งแรก ด้วยการเอาชนะ เบนฟิก้า ในนัดชิงชนะเลิศ ถือเป็น การพิสูจน์พลังแห่งความศรัทธา. นักเตะอย่าง บ็อบบี้ ชาร์ลตัน กลายเป็น ฮีโร่ในหัวใจแฟนบอล.
ต่อมาในช่วง ทศวรรษ 1980 สโมสรเผชิญกับ ฟอร์มการเล่นที่ไม่คงที่. แต่ในปี 1986 ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เข้ามาคุมทีม เขาคือ กุนซือผู้สร้างจักรวรรดิแห่งความสำเร็จ. ภายใต้การนำของเขา แมนยู คว้าแชมป์เอฟเอคัพ 5 สมัย.
หนึ่งในช่วงเวลาที่แฟนบอลทั่วโลกไม่มีวันลืมคือ ค่ำคืนแห่งปาฏิหาริย์ที่คัมป์นูในปี 1999. เกมนั้นกลายเป็น ช่วงเวลาที่พิสูจน์ว่าเกมฟุตบอลไม่มีคำว่าจบจนกว่าจะเป่านกหวีดสุดท้าย. ปีนั้นแมนยูคว้า สามแชมป์ในปีเดียว ได้แก่ พรีเมียร์ลีก, เอฟเอคัพ และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก.
หลังจาก การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ สโมสรต้องเผชิญกับความท้าทายอีกครั้ง หลายผู้จัดการทีมผลัดเปลี่ยนกันเข้ามา ทั้ง เดวิด มอยส์, หลุยส์ ฟานกัล, โชเซ มูรินโญ และโอเล่ กุนนาร์ โซลชา แต่ทีมก็ยังคง ต่อสู้เพื่อกลับมาสู่จุดเดิม.
ในยุคปัจจุบัน แมนยู โปรแกรมแดงเดือด ยังคงเป็นทีมที่ทรงอิทธิพลต่อวงการฟุตบอลอังกฤษ. สโมสรเดินหน้า วางแผนระยะยาวเพื่อสร้างทีมในอนาคต. คำว่าปีศาจแดง จึงไม่ใช่แค่ทีมฟุตบอล แต่คือ สัญลักษณ์ของความเชื่อ, ความภักดี, และพลังแห่งความมุ่งมั่น ที่แฟนบอลทั่วโลกยังคงจดจำและภาคภูมิใจจนถึงทุกวันนี้.
ลิเวอร์พูล เอฟซี
Liverpool Football Club เป็นทีมฟุตบอลที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและทรงเกียรติ. ลิเวอร์พูลก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1892 โดย จอห์น โฮลดิ้ง (John Houlding) เป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งขึ้น หลังจากมีความขัดแย้งเรื่องการบริหารสนามกับเอฟเวอร์ตัน สโมสรใหม่แห่งนี้จึงถือกำเนิดขึ้นภายใต้ชื่อว่า “ลิเวอร์พูล” และเริ่มต้นเส้นทางสู่ความยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา.
Anfield กลายเป็น สนามเหย้าถาวรของสโมสร ตั้งแต่วันแรกที่ก่อตั้ง สนามแห่งนี้มี เสียงเชียร์อันทรงพลังจากเดอะค็อป (The Kop) จนได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในสนามฟุตบอลที่มีพลังมากที่สุดในโลก. บนผนังอุโมงค์ก่อนลงสนามมีป้ายคำว่า “ที่นี่คือแอนฟิลด์” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ จิตวิญญาณแห่งชัยชนะ ของสโมสรแห่งนี้.
ในช่วงแรกของการก่อตั้ง ทีมประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยคว้าแชมป์ลีกสูงสุดอังกฤษได้ในปี ค.ศ.1901 และ ค.ศ.1906 ก่อนจะค่อย ๆ พัฒนาเป็นหนึ่งในทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศ. อย่างไรก็ตาม ความรุ่งเรืองที่แท้จริงเริ่มต้นขึ้นในยุคของ บิล แชงคลีย์ (Bill Shankly) ในช่วงทศวรรษ 1960 ซึ่งเขาได้ สร้างระบบทีมฟุตบอลที่แข็งแกร่ง.
บิล แชงคลีย์ ไม่เพียงนำทีมคว้าแชมป์ลีกและถ้วยในประเทศเท่านั้น แต่ยังสร้าง วัฒนธรรมแห่งความสามัคคีในหมู่แฟนบอล. เพลงนี้กลายเป็น สัญลักษณ์ของความรักและความเชื่อมั่น.
หลังยุคแชงคลีย์ สโมสรยังคงเดินหน้าสู่ความสำเร็จภายใต้การนำของ เคนนี ดัลกลิช (Kenny Dalglish) ซึ่งทุกคนต่างพาทีม ครองความยิ่งใหญ่ในอังกฤษ. ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยูโรเปียนคัพได้ถึง 6 สมัย (1977, 1978, 1981, 1984, 2005, 2019) และกลายเป็น ตำนานแห่งเวทียุโรปที่ยากจะล้มได้.
แม้จะมี ปัญหาภายในและการเปลี่ยนผ่านผู้บริหาร ลิเวอร์พูลยังคง ไม่เคยยอมแพ้ต่อความล้มเหลว. โศกนาฏกรรม เฮย์เซล (Heysel) คือ เหตุการณ์ที่หล่อหลอมความเข้มแข็งของสโมสร.
ในศตวรรษที่ 21 ลิเวอร์พูลก้าวเข้าสู่ยุคใหม่อีกครั้งภายใต้การบริหารของ เจ้าของทีมชาวอเมริกัน และการมาของ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน. คล็อปป์นำสโมสรกลับมาสู่จุดสูงสุดของโลกฟุตบอลอีกครั้ง ด้วยการคว้า ถ้วยรางวัลมากมายในยุคสมัยใหม่ หลังรอคอยมานานกว่า 30 ปี.
ความสำเร็จในยุคคล็อปป์ไม่ได้มีแค่รางวัล แต่ยังรวมถึง การปลุกจิตวิญญาณแห่งแอนฟิลด์ให้กลับมา. ลิเวอร์พูลในปัจจุบันจึงไม่ใช่แค่สโมสรฟุตบอล แต่คือ แรงบันดาลใจให้คนทั้งโลก. และตราบใดที่เสียงเพลง “You’ll Never Walk Alone” ยังคงดังก้องในแอนฟิลด์ ลิเวอร์พูลก็จะยังคงเป็น ตำนานที่ไม่มีวันจางหายไปตามกาลเวลา.